การเล่าข่าวทางโทรทัศน์เป็นรายการที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในปัจจุบัน เห็นได้จากทุกสถานีต่างก็มีรายการข่าวประเภทนี้หลายรายการนำเสนอในหลายช่วงเวลา หากมองย้อนกลับไปเราจะพบว่า เมืองไทยได้มีการนำวิธี “เล่าข่าว” มาใช้ครั้งแรกทางสถานีวิทยุ ท.อ.ทุ่งมหาเมฆ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ โดย คุณสง่า อารัมภีร นำข่าวจากหนังสือพิมพ์เสียงอ่างทอง มาอ่านพร้อมทั้งเพิ่มถ้อยคำลีลาหยอกล้อต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อข่าวในรายการ “ข่าวสี่มุมบ้าน” ที่ส่วนใหญ่เป็นข่าวอาชญากรรมและข่าวอุบัติเหตุ และรายการ “ข่าวสี่มุมบ้าน” ที่นำเสนอข่าวในแวดวงราชการ ปรากฏว่า ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผู้ฟังต่างก็เรียกรายการประเภทนี้ว่า “ข่าวชาวบ้าน” ซึ่งเป็นการเรียกตามวิธีการนำเสนอด้วยถ้อยคำ สำเนียงที่ไม่เป็นทางการ และเนื้อหาข่าวก็เป็นเรื่องราวที่ชาวบ้านเป็นผู้ก่อขึ้นหรือมีผลกระทบใกล้ชิดกับผู้ฟังทั่วไป เช่น เรื่องทะเลาะวิวาท ชู้สาว ต้มตุ๋น เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคมใกล้ตัว เป็นต้น ความนิยมในรายการประเภทเล่าข่าว หรือข่าวชาวบ้านนี้ ทำให้มีรายการวิทยุประเภทนี้อีกมากมายที่ทุกท่านพอจะคุ้นเคยหรือเคยฟังอยู่บ้างคงเป็นรายการ “ข่าว 6 โมงเช้า” ของ คุณปรีชา ทรัพย์โสภา ที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
ต่อมาในช่วงปี ๒๕๒๘ การเล่าข่าวได้เข้ามาในสื่อโทรทัศน์เป็นครั้งแรก โดย ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ได้ปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอข่าวของ ช่อง ๙ อ.ส.ม.ท. จากการรายงานข่าวแบบธรรมดามาเป็นการสนทนากับผู้ชมแทน ทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และต่อมาก็ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจนมาเป็นรายการเล่าข่าวอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน นอกจากวิธีการและเรื่องราวที่นำเสนอที่ทำให้ผู้ชมชื่นชอบแล้ว รายการประเภทนี้ยังทดแทนวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยอย่าง “วัฒนธรรมสภากาแฟ” ที่ห่างหายไป โดยรายการเล่าข่าวทำให้ผู้ชมผู้ฟังได้ร่วมวิพากวิจารณ์ มีช่องทาง (sms) ให้แสดงความคิดเห็น เรียกได้ว่า นอกจากจะช่วยอธิบายข่าว ตีประเด็นและตั้งข้อสังเกตในข่าวแล้ว การเล่าข่าวยังช่วยสร้างบรรยากาศแห่งการวิพากษ์วิจารณ์อีกด้วย
จากความสำคัญและกระแสความนิยมในรูปแบบการเสนอข่าวและเล่าข่าวนี้ทำให้ นางสาวนันทกา สุธรรมประเสริฐ นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการศึกษาในเรื่อง “ความเป็นแม่บ้านและการบริโภคสื่อแนวเล่าข่าวสาร” โดยสนใจศึกษาการรับชมรายการเล่าข่าวทางโทรทัศน์ของกลุ่มแม่บ้านว่า บทบาทหน้าที่ความเป็น “แม่บ้าน” ของผู้รับสารเพศหญิง มีผลต่อการบริโภคข่าวแนวเล่าข่าวอย่างไร เนื่องจากผู้หญิงต่างได้รับการปลูกฝังและสั่งสอนความเป็นแม่บ้าน หรือเรียกว่า “อุดมการณ์แม่บ้าน” อยู่ในจิตสำนึกทุกคนตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหม้อข้าวหม้อแกง การเล่นตุ๊กตาที่ปลูกฝังการดูแลลูก บ่งบอกถึงภาระหน้าที่ในอนาคต รวมทั้งบทกลอนสุภาษิตต่าง ๆ ที่กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ที่ควรกระทำของผู้หญิง เช่น การเป็น “แม่ศรีเรือน” การเป็น “ผู้หญิงที่ดี” สุภาษิตที่ว่า “ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง” เป็นต้น วิถีชีวิตของแม่บ้านจึงเกิดภาระผูกพันทางใจที่ต้องอุทิศให้กับครอบครัว ในขณะที่ผู้ชายต้องเป็นผู้ออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว “บ้าน” สำหรับผู้ชาย จึงหมายถึง สถานที่แห่งการพักผ่อนจากการทำงานนอกบ้าน แต่สำหรับผู้หญิง “บ้าน” คือ “สถานที่ทำงาน” ทำให้พฤติกรรมการรับสื่อของผู้หญิงมีลักษณะ “การครึ่งดูครึ่งทำอย่างอื่น” คือ ต้องรับสื่อที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้
จากเหตุผลดังกล่าวสื่อโทรทัศน์ จึงเป็นสื่อที่กลุ่มแม่บ้านนิยมมากที่สุด เพราะเป็นสื่อที่เชื่อมเธอเหล่านั้น กับโลกภายนอกได้ ทั้งการท่องเที่ยว การได้เห็นของสวยงาม สถานที่สวยงามต่าง ๆ โดยเรื่องราวที่ชื่นชอบส่วนใหญ่จะเป็นรายการเพื่อความบันเทิง เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากงานบ้าน รายการ “เล่าข่าว” จึงเป็นรายการที่กลุ่มแม่บ้านชื่นชอบอีกรายการ เพราะเป็นรายการที่ทำให้สามารถติดตามเรื่องราวข่าวสารที่เกิดขึ้นในรูปแบบที่เข้าใจง่าย และเนื้อหาข่าวก็เป็นประเภท “ข่าวเบา” มีการใช้คำพูดเร้าอารมณ์ผู้ชม การแสดงสีหน้าท่าทางประกอบการเล่าของพิธีกร ซึ่งเป็นวิธีการเล่าเรื่องคล้ายละคร ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้น เช่น ข่าวอาชญากรรมที่มีพระเอก – ผู้ร้าย หรือที่เรียกว่า นำเสนอในลักษณะ ขาว - ดำ
นอกจากผลการวิจัยดังกล่าวแล้ว ผู้วิจัยยังฝากข้อเสนอแนะว่า ผู้ผลิตรายการข่าวประเภท “เล่าข่าว” ควรเปลี่ยนจากการนำเสนอแบบ ขาว – ดำ หรือพระเอก - ผู้ร้าย ให้เป็นการเสนอที่เป็นกลางมากขึ้น และควรเพิ่มสัดส่วนของข่าวหนักให้มากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความรู้ในด้านต่าง ๆ ให้กับผู้ชม ส่วนพิธีกรในรายการก็ควรเว้นช่องว่างให้ผู้ชมได้ใช้วิจารณญาณของตนเองบ้าง ไม่ควรวิเคราะห์แบบชี้นำความคิด แต่ควรวิเคราะห์ข่าวในแง่มุมที่หลากหลาย เพื่อฝึกให้แม่บ้านรวมทั้งผู้ชมรายการกลุ่มอื่น ๆ ได้ฝึกคิดวิเคราะห์ข่าวได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ และรู้เท่าทันสื่อมากขึ้นอีกด้วย
การวิจัยชิ้นนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงรูปแบบการนำเสนอข่าวในแบบ “เล่าข่าว หรือคุยข่าว” ที่แม้คุณนันทการฯ จะทำการศึกษาเฉพาะกลุ่มผู้รับสารที่เป็นกลุ่มแม่บ้านเท่านั้น แต่ผลการศึกษาได้สะท้อนถึงวิธีการนำเสนอข่าวของผู้ผลิตรายการ รวมทั้งประเภทข่าวที่นำเสนอเพื่อให้ผู้ชมได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็เป็นการนำเสนอผ่านความคิดเห็นและประสบการณ์ของผู้นำเสนอเอง อย่างที่มีผู้กล่าวไว้ว่า “ข่าวมีลักษณะเหมือนนิทานปรัมปรา” คือ เป็นการเล่าหรือบรรยายเรื่องราวผสมผสานกับการรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเข้าใจและความรู้สึกของผู้เล่าเอง ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ลดความเป็นจริงเป็นจังของเหตุการณ์และทำให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องราวได้ดีขึ้น” ผู้รับสื่ออย่างเรา ๆ ท่าน ๆ จึงต้องรับสื่อแบบ “ฟังหู ไว้หู” คิดพิจารณาด้วยเหตุและผล ก่อนจะตัดสินใจเชื่อ หรือไม่เชื่อข่าวสารเหล่านั้น ผู้เขียนหวังแต่เพียงว่านับจากนี้ เราคงจะได้รับข่าวสารที่ให้สาระประโยชน์ ช่วยสร้างความคิดในทางบวกให้กับผู้ชมและสังคมมากยิ่งขึ้น.
ข้อมูล :: คอลัมภ์ “วิจัยสนุก กระตุกความคิด” โดย เกษศิรินทร์ อภิรัตนวงศ์
วารสารกรมประชาสัมพันธ์ ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๑๗๐
ประจำเดือน มกราคม ๒๕๕๔
"...การประชาสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนหรือให้ประชาชนเข้าใจสัมพันธ์กัน และงานกิจการต่าง ๆ ก็ต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์เกือบทั้งนั้น ถ้าทุกคนตั้งใจทำเพื่อให้ผลที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ก็เชื่อได้ว่าส่วนรวมจะอยู่เย็นเป็นสุข..." พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะกรรมการบริหารสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน(24 มี.ค.2523)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น